มะเขือเทศกีวีได้ชื่อมาจากความคล้ายคลึงกับผลไม้ต่างถิ่น เมื่อสุกจะมีสีคล้ายหนองน้ำ เนื้อมีสีเขียว รสหวานเล็กน้อย และมีกลิ่นหอมของผลไม้ รับประทานสด รับประทานเป็นสลัดฤดูหนาว หรือดองใส่ขวดก็ได้
มะเขือเทศกีวีคืออะไร?
ลักษณะและลักษณะของพันธุ์:
- พันธุ์ยังไม่แน่นอน พุ่มค่อนข้างสูง โดยสูงได้ถึง 1.5 เมตร
- สามารถปลูกได้ในพื้นที่โล่ง แต่จะดูแลง่ายกว่ามากหากปลูกในเรือนกระจก
- ควรปลูกในพื้นที่โล่งทางภาคใต้จะดีกว่า เนื่องจากมะเขือเทศไม่ทนต่ออุณหภูมิต่ำและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้ดี
- เนื่องจากการเจริญเติบโตของพืชจึงต้องมีการผูกยึดไว้
- แนะนำให้ตัดแต่งพุ่มเป็น 2-3 กิ่ง
- พันธุ์นี้ให้ผลผลิตดีมาก โดยมีผลใหญ่ 5-6 ผลในหนึ่งพวง
- หนึ่งพุ่มสามารถให้ผลมะเขือเทศสุกได้มากถึง 12 กิโลกรัม
- มะเขือเทศ 1 ลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 200-300 กรัม
- ผลมีลักษณะกลม ส่วนยอดแบนเล็กน้อย
- ฤดูการเจริญเติบโตกินเวลา 4 เดือน
มะเขือเทศปลูกอย่างไร?
เนื่องจากพุ่มสูงจึงต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อเพิ่มผลผลิต จำเป็นต้องตัดยอดส่วนเกินออก ช่อดอกจะเริ่มก่อตัวหลังจากปลูกต้นกล้าได้หลายสัปดาห์
มะเขือเทศเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่น การงอกของเมล็ดต้องการอุณหภูมิ 20–25°C และการติดผลต้องการอุณหภูมิอย่างน้อย 17°C ที่อุณหภูมิต่ำกว่า การเจริญเติบโตและพัฒนาการของพืชจะถูกยับยั้ง

มะเขือเทศทนแล้ง น้ำส่วนเกินในดินจะทำให้ต้นมะเขือเทศตาย ควรรดน้ำเฉพาะเมื่อดินแห้งเท่านั้น
มะเขือเทศต้องการปุ๋ย โพแทสเซียมและฟอสฟอรัสช่วยปรับปรุงคุณภาพผล ในขณะที่ไนโตรเจนส่วนเกินจะยับยั้งการเจริญเติบโตของมะเขือเทศ แต่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบ
มะเขือเทศเจริญเติบโตได้ดีในดินที่เคยมีกะหล่ำปลีและแตงกวา ไม่ควรปลูกในดินที่เคยมีมันฝรั่ง หัวหอม หรือพริก เพราะอาจติดโรคใบไหม้ได้ การใส่ขี้เถ้าไม้และซุปเปอร์ฟอสเฟตลงในดินจะช่วยได้ ภาชนะเพาะต้นกล้าควรมีรูระบายน้ำ
ต้นกล้าที่โตเต็มที่จะถูกย้ายปลูกลงในภาชนะแยกกัน การปลูกในกระถางแยกจะทำให้ระบบรากพัฒนาดีขึ้น แข็งแรงขึ้นมาก และเพิ่มโอกาสในการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ดี

มาดูรายละเอียดเกี่ยวกับการปลูกต้นกล้ากันอย่างละเอียด เพราะคุณภาพของผลผลิตขึ้นอยู่กับต้นกล้าเป็นหลัก เพาะเมล็ดในภาชนะตื้นๆ ที่คลุมด้วยดินหนา 5 ซม. ใช้แหนบหรือไม้เกลี่ยเมล็ดให้ลึก 1-1.5 ซม. โดยเว้นระยะห่างระหว่างเมล็ด 3 ซม. คลุมด้วยดินหนา 1 ซม. แล้วฉีดน้ำ คลุมภาชนะด้วยพลาสติกแรป และอย่ารดน้ำจนกว่าต้นกล้าแรกจะงอก ในช่วงนี้ ควรรักษาอุณหภูมิให้อยู่ที่ 20-25 องศาเซลเซียส
ขั้นตอนต่อไปคือการย้ายต้นที่โตแล้วลงกระถางแยก ในระยะนี้ ต้นต้องการอากาศเย็น (18-20°C) และแสงที่เพียงพอ วันละ 16-18 ชั่วโมง เพื่อชดเชยการขาดแสงธรรมชาติ ควรเปิดหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ในตอนเย็น โดยควรติดตั้งไว้เหนือต้นโดยตรง ห่างกัน 15 ซม.

ต้นกล้าจะได้รับอาหารทุก 10 วัน ปุ๋ยคอกไก่หรือมูลวัวใช้สำหรับจุดประสงค์นี้ หากไม่มีทั้งสองอย่าง สามารถใช้ปุ๋ยหมักหรือฮิวมัสแทนได้
เมื่อดินแห้ง ให้รดน้ำ ควรใช้น้ำที่ตกตะกอนที่อุณหภูมิห้อง เมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตแล้ว ควรนำต้นกล้าออกไปข้างนอกทุกวัน โดยเพิ่มเวลาในแต่ละวัน วิธีนี้จะช่วยให้ต้นกล้าปรับตัวได้ง่ายขึ้นเมื่อย้ายปลูกไปยังพื้นที่ถาวร ในภูมิภาคที่มีช่วงฤดูร้อนสั้น การปลูกต้นกล้าลงดินให้ตรงเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกวันมีความสำคัญ ฤดูปลูกจะสิ้นสุดในช่วงกลางเดือนสิงหาคม หากปลูกเมล็ดพันธุ์ช้า ผลจะสุกอยู่ได้ถึงเดือนกันยายน

รีวิวมะเขือเทศกีวีจากชาวสวนระบุว่าผลอ่อนมาก จึงต้องเก็บเกี่ยวอย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจช้ำและทำให้อายุการเก็บรักษาสั้นลง ในสภาพอากาศร้อน มะเขือเทศอาจมีสีน้ำผึ้ง รอยแดงบ่งบอกถึงความสุกเกินไป
โดยรวมแล้ว บทวิจารณ์เกี่ยวกับสายพันธุ์นี้เป็นไปในเชิงบวก ผู้คนต่างชื่นชอบกลิ่นหอมที่แปลกใหม่และรสชาติแบบเขตร้อน ซึ่งหลายคนรู้สึกว่าชวนให้นึกถึงกีวีพันธุ์แปลกตา










